ด้วยการโคจรมาพบกันระหว่างไลน์อัปนักแสดงตัวท็อปอย่างซงฮเยคโยและอีโดฮยอน กับสองผู้สร้างที่ไม่เคยทำให้ใครผิดหวังอย่างนักเขียนบทคิมอึนซุกและผู้กำกับอันกิลโฮ ทำให้ซีรีส์ The Glory เป็นผลงานที่มีผู้ชมตั้งตารอมากที่สุดแห่งปี และงานแถลงข่าวเปิดตัวในวันที่ 20 ธันวาคม ก็นับว่าเรียกเสียงฮือฮาได้อย่างล้นหลาม ก่อนที่จะไปรับชมพร้อมกันทั่วโลก 30 ธันวาคมนี้ที่ Netflix
การพลิกบทบาทที่เผยมุมมองใหม่ในหลายมิติ
ทั้งซงฮเยคโยและคิมอึนซุกต่างก็โด่งดังจากผลงานซีรีส์รักโรแมนติก คนหนึ่งในฐานะนักแสดง และอีกคนหนึ่งในฐานะนักเขียนบท ซึ่งทั้งสองก็ได้เคยพิสูจน์ฝีมือร่วมกันมาแล้วในซีรีส์ ชีวิตเพื่อชาติรักนี้เพื่อเธอ (Descendants of the Sun) ทว่าสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้ผู้ชมเป็นอย่างมากก็คือการที่ทั้งคู่ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อถ่ายทอดซีรีส์ล้างแค้นที่แสนมืดหม่นแห่งปี ผู้กำกับอันกิลโฮเล่าถึงซงฮเยคโยว่า “ผมไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้เห็นการแสดงสีหน้าและอารมณ์แบบนั้นของซงฮเยคโยเธอสามารถเล่นให้เรารู้สึกถึงความเกลียดชังอย่างถึงขีดสุดได้โดยใช้การแสดงที่น้อยแต่มากอย่างการแสดงสีหน้าเท่านั้นเองผมคิดว่ามีแต่เธอเท่านั้นเลยครับที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่หลากหลายแบบนั้นออกมาได้”
ด้านอิมจียอน ซึ่งรับบทเป็นตัวร้ายในซีรีส์ล้างแค้นเรื่องแรกจากปลายปากกาของคิมอึนซุก เล่าว่า “ฉันรู้สึกเหมือนถูกดึงให้เข้าไปอยู่ในเรื่องราวสุดซับซ้อนนี้อย่างแท้จริงเลยค่ะมันเต็มไปด้วยการหักมุมและอารมณ์ที่หลากหลายมากตอนที่อ่านบทฉันก็เซอร์ไพรส์มากเลยค่ะฉันต้องมองดีๆอีกทีเลยว่าฉันอ่านถูกไหมคุณคิมอึนซุกเป็นคนเขียนเรื่องราวที่มืดหม่นแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ!”
และนี่ก็เป็นครั้งแรกของเธอเช่นกันที่ได้รับบทตัวละครที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ซึ่งเธอเองก็อยากเล่นมาตลอด ขณะที่คิมอึนซุกเผยด้วยความภูมิใจว่า “ฉันดีใจมากเลยค่ะที่ดึงเอาด้านร้ายๆของคุณจียอนออกมาได้เธอไม่เคยแสดงสีหน้าอารมณ์แบบนั้นให้ใครเห็นเลย” ซีรีส์เรื่องนี้รวมเอาประเด็นการล้างแค้นอันโหดเหี้ยมและความรุนแรงในโรงเรียนไว้ด้วยกัน ซึ่งแม้จะฟังดูเป็นพล็อตที่คุ้นหูอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นการพลิกบทบาทและโฉมหน้าหนักแสดงในแบบที่คุณไม่เคยได้เห็นที่ไหนมาก่อน!
เจาะลึกแรงบันดาลใจของซีรีส์ The Glory
The Glory นั้นแบ่งออกเป็น 2 ภาค โดยภาคที่ 1 กำลังจะพรีเมียร์ในวันที่ 30 ธันวาคมนี้แล้ว ส่วนภาคที่ 2 ก็เตรียมสตรีมให้ได้รับชมกันอย่างต่อเนื่องในเดือนมีนาคม 2023 ทั้งนี้ ตัวซีรีส์จะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการแก้แค้นของเหล่าอดีตนักเรียนมัธยมที่ต่างพากันจมลงสู่ความพินาศ นักเขียนบทคิมอึนซุกได้ไอเดียต่อยอดจากประเด็น “ความรุนแรงในโรงเรียน” ระหว่างที่คุยกับลูกสาวซึ่งกำลังจะขึ้นชั้นปี 1 ในโรงเรียนมัธยมปลาย โดยลูกสาวของเธอถามว่า “คุณแม่จะรู้สึกแย่กับอะไรมากกว่ากันระหว่างการที่หนูเป็นคนกลั่นแกล้งรังแกคนอื่นหรือการที่หนูโดนรังแกเสียเอง” คำถามนี้สร้างภาพอันน่าหวาดวิตกแก่คนเป็นแม่ซึ่งเป็นนักเขียนช่างจินตนาการ เธอจึงศึกษาเรื่องราวของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในโรงเรียนอย่างลงลึก กระทั่งได้พบกับสารพันอารมณ์และความคับแค้นที่กำลังรอให้ได้รับการเล่าขานออกไป
เธอกล่าวกับสื่อมวลชนว่า ประเด็นสำคัญที่เธอต้องการนำเสนอไม่ใช่การเชิดชูพฤติกรรมของผู้กระทำผิด แต่เธออยากสื่อสารให้ชัดเจนว่าสิ่งที่เหยื่อต้องการนั้นไม่ใช่เงินชดเชย ทว่าเป็นการขอโทษจากใจจริง ซึ่งเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้พวกเขาได้ความหมายของการมีชีวิตอยู่กลับคืนมา ด้านผู้กำกับอันกิลโฮกล่าวเพิ่มเติมว่า บทซีรีส์เรื่องนี้เขียนได้ดีมากจนเหมือนได้นั่งอ่านนิยายดีๆ เล่มหนึ่ง เพราะ “บทมีพร้อมทุกอย่างผมแค่ต้องนำเสนอมันอย่างตรงไปตรงมาและไม่ลดทอนประเด็นใดๆไปเท่านั้นเอง”
ส่วนซงฮเยคโยเผยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะถ่ายทอดบทบาทของเหยื่อที่เคยผ่านอดีตอันโหดร้ายเช่นนี้ เธอกล่าวว่า “ฉันไว้ใจผู้กำกับอันกิลโฮมากในการถ่ายทอดเรื่องราวของมุนดงอึนค่ะเพราะว่าเราทั้งคู่วาดภาพลักษณะของตัวละครไว้ตรงกันและมองภาพเดียวกันอยู่เสมอนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันมั่นใจในการแสดงค่ะ”
นักแสดงคนอื่นๆ ยังเปิดเผยอีกว่าพวกเขาทุกคนมุ่งมั่นที่จะดำลึกลงไปสู่ “ความมืดมน” ของจิตใจเพื่อซีรีส์เรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น พัคซองฮุน มักจะเตรียมแนวทางการแสดงที่แตกต่างกันราวไว้ 4-5 แบบสำหรับฉากที่เขาต้องรับบทเป็นตัวร้ายที่เต็มไปด้วยแรงจูงใจและสภาพอารมณ์ที่ซับซ้อน ดังนั้นบอกได้คำเดียวว่าพลาดไม่ได้เลยสำหรับ The Glory ซีรีส์ที่นักแสดงและทีมผู้สร้างต่างร่วมงานกันอย่างใกล้ชิดเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวให้ออกมาสมจริงมากที่สุด!
ไม่จบจำเจอย่างแน่นอน!
ผู้ชมอาจเริ่มเบื่อหน่ายกับเรื่องราวการล้างแค้นที่เริ่มต้นอย่างเข้มข้นและมืดหม่น แต่กลับลงท้ายเป็นเพียงซีรีส์โรแมนติกคอเมดี้อีกเรื่องที่ดาร์กขึ้นนิดๆ เมื่อเกิดประเด็นรักๆ ใคร่ๆ ที่ส่งผลให้ตัวละครตัดสินใจแบบไม่สอดคล้องกับตัวตนและเป้าหมายที่แท้จริงของตน ดังนั้น คิมอึนซุกจึงให้คำมั่นสัญญากับผู้ชมว่า The Glory จะไม่ดำเนินเรื่องราวที่เบี่ยงเบนไปจากจุดประสงค์แรกเริ่มของตัวละคร ซึ่งหมายถึงเป้าหมายล้างแค้นอันแยบยลของมุนดงอึนนั่นเอง นอกจากนี้ ผู้กำกับอันกิลโฮยังมั่นใจว่าผู้ชมจะได้รับความรู้สึกที่แตกต่างออกไปหลังจากได้ชม นั่นคือจะ “รู้สึกสาแก่ใจที่เห็นตัวละครต่างพากันจมสู่ก้นบึ้งแห่งความหายนะ”
นอกจากนี้ The Glory ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อบอกเล่าเรื่องราวการแก้แค้นที่มีรูปแบบตายตัวและซ้ำซากจำเจ โดยซงฮเยคโยแง้มให้ฟังถึงธีมหลักของซีรีส์ว่า “มีหลายประโยคที่โดนใจฉันแต่ประโยคที่โดนใจมากที่สุดก็คือ ‘ไม่มีการให้อภัยและไม่จำเป็นต้องคงไว้ซึ่งเกียรติยศเช่นกัน’ แม้ว่ามุนดงอึนจะเป็นเหยื่อของความรุนแรงที่โหดร้ายมากๆแต่เธอเองก็กลายเป็นคนที่ลงมือผ่านการแก้แค้นของเธอได้เหมือนกันค่ะ” รอชมกันได้เลยในซีรีส์ The Glory กับผลลัพธ์อันซับซ้อนของการใช้ความรุนแรงและการล้างแค้น
อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น The Glory ก็พร้อมที่จะดึงให้ผู้ชมนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ไม่เพียงจะมอบความบันเทิงให้คุณผู้ชมเท่านั้น แต่ยังจะชวนให้ครุ่นคิดถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “เกียรติและศักดิ์ศรี” อีกด้วย เตรียมพบกับเรื่องราวสุดเข้มข้นและทัพนักแสดงสุดสตรองได้พร้อมกันทั่วโลก 30 ธันวาคมนี้ที่ Netflix เท่านั้น!