LIFESTYLE » คาร์เทียร์เผยโฉม 7 คอลเลคชั่นเอกลักษณ์ดีไซน์เฉพาะตัว ภายใต้แคมเปญ The Culture of Design

คาร์เทียร์เผยโฉม 7 คอลเลคชั่นเอกลักษณ์ดีไซน์เฉพาะตัว ภายใต้แคมเปญ The Culture of Design

10 กุมภาพันธ์ 2021
901   0

คาร์เทียร์เฉลิมฉลองศักราชใหม่ด้วยแคมเปญ The Culture of Design แคมเปญระดับโลกของคาร์เทียร์ ที่อุทิศให้กับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ คาร์เทียร์ขอเชิญทุกท่านร่วมค้นพบวัฒนธรรมการออกแบบของคอลเลคชั่นในตำนานของคาร์เทียร์อีกครั้ง ได้แก่ ซานโตส (Santos), แทงก์ (Tank), ทรินิตี้ (Trinity), เลิฟ (Love), จุตส์ เอิง คลู (Cartier Juste un Clou), ปองแตร์ (Panthère) และ บัลลอง เบลอ (Ballon Bleu) ผ่านงานออกแบบที่สะท้อนถึงมาตรฐานอันพิถีพิถันของคาร์เทียร์ รวมไปถึงวิสัยทัศน์ด้านการออกแบบที่คาร์เทียร์ยึดถือมาโดยตลอด เพื่อเสาะหารูปทรงอันสมบูรณ์แบบ จากการเรียงร้อยเส้นสายอันบริสุทธิ์ รูปทรงที่แม่นยำ การจัดวางองค์ประกอบต่างๆ ตามสัดส่วนที่เหมาะสม และรายละเอียดต่างๆ อันปราณีต

แคมเปญนี้จะนำเสนอคอลเลคชั่นอันเป็นเอกลักษณ์ของคาร์เทียร์ เพื่อให้เกียรติต่อผลงานชิ้นไอคอน ที่เป็นผลลัพธ์ของวิสัยทัศน์และความตั้งใจของนักออกแบบ ที่นำเสนอเครื่องประดับและเรือนเวลาคอลเลคชั่นต่างๆ อันทรงพลัง เรียบง่ายและสรรสร้างขึ้นอย่างพอดี ผลงานชิ้นไอคอนเหล่านี้ทำให้เครื่องประดับของคาร์เทียร์กลายเป็นดีไซน์แบบร่วมสมัยและเป็นที่ปรารถนาของทุกคนมาโดยตลอด

สำหรับแบรนด์คาร์เทียร์ ดีไซน์คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง

แนวคิดอันแหวกแนวซึ่งถูกหล่อหลอมและฝังรากลึกของแบรนด์ระดับตำนานที่สามารถรังสรรค์ผลงานศิลปะผ่านคอลเลคชั่นเครื่องประดับเลอค่าและเรือนเวลาที่มีดีไซน์โดดเด่นจนยากที่จะละสายตา คืออัตลักษณ์ของคาร์เทียร์ ไม่ว่าจะเป็น คอลเลคชั่นแทงก์ (Tank), ทรินิตี้ (Trinity), จุตส์ เอิง คลู (Juste un Clou), ซานโตส (Santos), เลิฟ (Love), ปองแตร์ (Panthère), และบัลลอง เบลอ (Ballon Bleu) แคลช (Clash) ล้วนเป็นผลงานที่จดจำได้ตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งคอลเลคชั่นเหล่านี้มีรากฐานมาจากหลักการออกแบบ 4 ประการ ได้แก่ เส้นลายที่บริสุทธิ์, รูปทรงที่แม่นยำ, ความเที่ยงตรงของสัดส่วน และรายละเอียดอันปราณีต

·     เส้นลายที่บริสุทธิ์ คือความปรารถนาของคาร์เทียร์ในการลดทอนรายละเอียดปลีกย่อยที่จะบดบังโครงสร้างแท้จริงอันงดงามของชิ้นงาน และทำให้ความสวยงามนั้นเข้าใจง่าย การเสาะแสวงหาความเรียบง่ายดังกล่าวเป็นดั่งมนต์สะกดที่ทำให้งานแต่ละชิ้นถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาให้เป็นที่จดจำได้ตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเชิงช่างในระดับสูง

·        รูปทรงที่แม่นยำ อยู่เหนือทุกการแสวงหาใดๆของคาร์เทียร์ ไม่ว่าจะถูกรังสรรค์ด้วยรูปทรงจัตุรัส ทรงกลม หรือแม้แต่ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า สิ่งเหล่านั้นได้ผ่านกระบวนการคิดสร้างสรรค์ของนักออกแบบ ด้วยการวัดขนาด กะเกณฑ์ผลลัพธ์แห่งความสมมาตร เส้นขนาน หรือแม้แต่ความอสมมาตรที่แต่ละรูปทรงจะนำพาไปได้ บวกกับมุมมองตามสัดส่วนผ่านสายตาที่ช่วยเพิ่มมิติและเส้นสายอ่อนช้อย ราวกับคาร์เทียร์ได้รังสรรค์รูปทรงใหม่และซ่อนความเคลื่อนไหวให้กับทุกชิ้นงาน

·     ความเที่ยงตรงของสัดส่วน คือสมดุลยภาพระหว่างเส้นสายและรูปทรง ขนาดของเครื่องประดับและแขนของผู้สวมใส่ ความถูกต้องของสัดส่วนนั้นจะถูกวัดจากวิธีการสวมใส่เช่นเดียวกับเสื้อผ้า จากนั้นสัดส่วนจะทำหน้าที่กำหนดความหมายที่แท้จริงให้กับความสง่างามของชิ้นงานตามบริบทที่ลงตัว และจากความแม่นยำนี้ ทำให้คาร์เทียร์สามารถรังสรรค์สัดส่วนให้กับผลงานใหม่ไปตามกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงโดยไม่บิดเบือน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ตอบรับกับนวัตกรรมเชิงเทคนิค การวิจัยด้านการยศาสตร์ และความเข้าใจด้านการใช้งานของแต่ละชิ้นงาน

·        รายละเอียดอันปราณีต สื่อถึงสัญชาตญาณในด้านสไตล์ของช่างผู้สร้างสรรค์อัญมณีที่ค้นพบและกล้าเปิดเผยความงดงามที่ถูกซ่อนไว้ รายละเอียดเหล่านี้ล้วนต้องสื่อความหมายให้กับเครื่องประดับและเรือนเวลาจึงทำให้ชิ้นงานเหล่านั้นมีคุณค่า ไม่ใช่เพียงเพื่อความสวยงามเชิงศิลป์เท่านั้น และคาร์เทียร์ก็พร้อมที่จะแสดงความเลอค่าของทุกรายละเอียดในทุกชิ้นงานออกมา

เครื่องประดับและเรือนเวลาอันทรงคุณค่า

ความชาญฉลาดของการออกแบบเครื่องประดับและเรือนเวลาดูกลมกลืนในทุกยุคสมัยรวมถึงในอนาคต ความร่วมสมัยนี้ ถึงแม้จะให้ความรู้สึกเก่าแก่ในความคิดของบางคน แต่ดีไซน์เหล่านี้ก็ได้แสดงกับกาลเวลาให้ได้ประจักษ์แล้วว่าความคลาสสิกเหนือกาลเวลานั้นมีความสำคัญเพียงใด ชิ้นงานอันทรงคุณค่าเหล่านี้อาจถูกรังสรรค์ขึ้นใหม่อีกกี่ครั้ง แต่ก็จะยังคงจุดประกายแรงบันดาลใจได้อย่างไม่สิ้นสุด และเป็นแหล่งพลังงานทางความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขอบเขตซึ่งคาร์เทียร์หาญกล้าที่จะนำมาพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ทุกผลงานคือมรดกทั้งในเชิงวัฒนธรรมและเชิงอารมณ์ความรู้สึก และความความสัมพันธ์ทางจิตใจอย่างแรงกล้าที่เรามีกับผลงานระดับประวัติศาสตร์ที่ เหนือการเวลาเหล่านี้จะเติบโตไปตามเวลาที่แปรผันเช่นเดียวกับความหมายที่แต่ละชิ้นงานต้องการสื่อออกมา คอลเลคชั่นเครื่องประดับและ เรือนเวลาล้ำค่าน่าจดจำแห่งประวัติศาสตร์วงการจิวเวลรี่และวงการประกอบนาฬิกาชั้นสูงเหล่านี้เป็นดังบทพิสูจน์ถึงความตั้งใจของคาร์เทียร์ ในการออกแบบสร้างสรรค์ผลงานศิลปะถ่ายทอดผ่านชิ้นงานเครื่องประดับและนาฬิกา

บัลลอง เบลอ เดอ คาร์เทียร์ (Ballon Bleu de Cartier)

นาฬิกาคอลเลคชั่นบัลลอง เบลอ (Ballon Bleu de Cartier) ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปีค.ศ. 2007 โดยดีไซเนอร์ของคาร์เทียร์ได้นำความกลมมนมาตีความใหม่ด้วยการเพิ่มมิติ และผลลัพธ์คือความซับซ้อนของวงกลมที่มีมิติ บนตัวเรือนที่สร้างสมดุลระหว่างเส้นสายได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยการซ่อนเม็ดมะยมคริสตัลแซฟไฟร์ สีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ในวงแหวนกลมเล็กไว้กับตัวเรือนอย่างแนบเนียนไม่มีสะดุด ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา

จุตส์ เอิง คลู (Juste un Clou)

สำหรับคอลเลคชั่นเครื่องประดับจุตส์ เอิง คลู (Juste un Clou)ถูกสร้างสรรค์ขึ้นที่เมืองนิวยอร์กในช่วงยุค 70 โดย อัลโด ซิปูโย (Aldo Cipullo) ดีไซเนอร์ของคาร์เทียร์ได้นำรูปทรงตะปูที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปมาตีความใหม่ เป็นเครื่องประดับอันทรงคุณค่า ด้วยเส้นสายโค้งมน ทว่ามีดีไซน์เฉียบคม พร้อมสัดส่วนที่ถูกต้องรับกับข้อมืออย่างลงตัว

แทงก์ (Tank)

เมื่อปีค.ศ. 1917 หลุยส์ คาร์เทียร์ ได้นำแรงบันดาลใจจากความคมชัดของเส้นสายต่างๆ และภาพจากด้านบนของรถถังมาสร้างสรรค์เป็นรูปทรงใหม่ให้กับนาฬิการุ่นแทงก์ ซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นคานสองชิ้นที่ประกบตัวเรือนทรงเหลี่ยม ด้วยหลักการออกแบบกราฟฟิกให้คานทรงเหลี่ยมสองชิ้นที่ประกบตัวเรือนเป็นดั่งล้อรถ และตัวเรือนดุจหอบังคับการ โดยที่การประกอบตัวเรือนกับสายนาฬิกาต้องกลมกลืนจนเกือบจะเป็นเส้นเดียวกันเพื่อรักษาหัวใจหลักของแรงบันดาลใจเอาไว้

ทรินิตี้ (Tritiny)

แหวนทรินิตี้ เป็นผลงานการออกแบบของหลุยส์ คาร์เทียร์เมื่อปีค.ศ.1924 ด้วยการเผยความงดงามของวงแหวนสีทองไวท์โกลด์ เยลโลโกลด์และพิงค์โกลด์ 3 วงที่มีเส้นสายเรียบง่ายและขนาดสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบซึ่งกระหวัดพันเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

ปองแตร์ เดอ คาร์เทียร์ (Panthère de Cartier)

นาฬิกาปองแตร์ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปีค.ศ.1983 ให้เป็นมากกว่างานศิลปะ ด้วยตัวเรือนทรงเหลี่ยมมุมมน เส้นสายที่กลมกลืนอย่างไร้รอยต่อของตัวเรือนและสายนาฬิกา รวมถึงหมุดตอกที่เห็นบนกรอบตัวเรือน คาร์เทียร์ปรารถนาที่จะให้นาฬิกาปองแตร์รักษาความความโดดเด่นของเส้นสายแต่ยังความอ่อนช้อย ซึ่งทำให้เรือนเวลารุ่นนี้เป็นเสมือนเครื่องประดับในเวลาเดียวกัน โดยนาฬิกาเรือนนี้ มีชื่อเดียวกับกำไลข้อมือที่สะท้อน ความเคลื่อนไหวของเสือแพนเตอร์ สัตว์ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ประจำแบรนด์คาร์เทียร์ นาฬิกาเรือนนี้ได้ถูกนำมาออกแบบตีความใหม่อีกครั้งในปีค.ศ. 2017 ให้แสดงถึงความเป็นอิสตรีที่เปี่ยมสุข เด็ดเดี่ยว และเป็นอิสระเหนือชายชาตรี

เลิฟ (Love)

เลิฟ คือเครื่องประดับที่สะท้อนวิสัยทัศน์ด้านการดีไซน์ของคาร์เทียร์ และเส้นสายที่คมชัดคือความสมบูรณ์แบบ กำไลข้อมือทรงรีนี้ถูกสร้างสรรค์โดย อัลโด้ ซิพูลโล (Aldo Cipullo) ที่เมืองนิวยอร์กเมื่อปีค.ศ.1969 ด้วยการนำแผ่นโลหะหรูหราทรงโค้งสองอันมาประกอบเข้าด้วยกันด้วยสกรูวและไขควงที่ให้มาโดยเฉพาะ

ซานโตส เดอ คาร์เทียร์ (Santos de Cartier)

นาฬิกาซานโตสถูกสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปีค.ศ.1904 บนแนวคิดเรื่องรูปทรง รสนิยมแบบเรียบง่าย ความถูกต้องของสัดส่วนและรายละเอียดที่ปราณีตซึ่งเป็นครั้งแรกที่คาร์เทียร์ออกแบบนาฬิกาข้อมือที่มีหน้าปัดสี่เหลี่ยม ขณะที่ในยุคนั้นนาฬิกาพกมักมีทรงกลม ส่วนสกรูวที่มักถูกซ่อนไว้อยู่เสมอในเทคนิคการประกอบเรือนเวลาชั้นสูงก็กลับปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดและกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความสวยงามของคอลเลคชั่นในที่สุด

ความหลากหลายของดีไซน์ที่ร่วมสมัย ไปจนถึงรูปทรงที่ออกแบบอย่างประณีตและบริสุทธิ์ กลายเป็นผลงานชิ้นไอคอนที่สร้างชื่อให้กับแบรนด์คาร์เทียร์ คาร์เทียร์ยังคงมุ่งมั่นรักษาประวัติศาสตร์ของเครื่องประดับต่างๆ ให้ดำรงอยู่สืบไป รวมไปถึงแนวคิดของการออกแบบเครื่องประดับที่เรียบหรูแต่เป็นตำนานเพื่อประกอบเป็นคอลเลคชั่นเครื่องประดับอันเป็นเอกลักษณ์ต่อไป 

ค้นพบงานดีไซน์ในคอลเลคชั่นอันเป็นไอคอนได้ที่ คาร์เทียร์บูติค สยามพารากอน ดิเอ็มโพเรียมและไอคอนสยาม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป